วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

หน้าปก

😁😁😁วิชา คอมพิวเตอร์😁😁😁

 😂โดย😃
  

😇นาย.ทรงพล เกตุพันธ์😋


😞เสนอ😣


😣ครูไพศาล ภาวสุท😰



😃😃😃ติดต่อได้ที่ 0938919615😆😆😆 

นกชาปีไหน หรือ นกกะดง

นกชาปีไหน หรือ นกกะดง


เป็นนกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล Caloenas ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
นกชาปีไหน มีขนาดลำตัวเท่า ๆ กับไก่แจ้ มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-41 เซนติเมตร มีลำตัวขนาดใหญ่ แต่มีหัวขนาดเล็กและมีเนื้อนูนเป็นตุ่มบริเวณจมูก ขนตามลำตัวเป็นสีเขียวเหลือบเทา ขนหางสีขาว แต่จะมีขนบริเวณคอห้อยยาวออกมาเหมือนสร้อยคอ ซึ่งขนนี้จะยาวขึ้นเมื่อนกมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีขาขนาดใหญ่แข็งแรง เพราะเป็นนกที่ชอบเดินหากินตามพื้น
นกชาปีไหน แม้จะเป็นนกที่หากินบนพื้นดินเป็นหลัก แต่ก็เป็นนกที่สามารถบินได้ มีรายงานว่าสามารถบินข้ามไปมาระหว่างเกาะต่าง ๆ ได้ เป็นนกที่หากตกใจจะบินหรือกระโดดขึ้นบนต้นไม้ และไม่ค่อยส่งเสียงร้องนัก นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง) พบกระจายพันธุ์เฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณทะเลอันดามันและอินโด-แปซิฟิก เช่น หมู่เกาะนิโคบาร์, หมู่เกาะอันดามัน, หมู่เกาะโซโลมอนและปาเลา ในประเทศไทยจัดเป็นนกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง โดยจะอาศัยอยู่ในป่าดิบหรือป่าชายหาดของหมู่เกาะสิมิลัน, หมู่เกาะสุรินทร์ หรือหมู่เกาะอ่างทอง เท่านั้น เป็นนกที่ถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักรราช 2535

นกสาลิกาเขียว

นกสาลิกาเขียว


เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกกา(Corvidae) มีขนาด 38 เซนติเมตร มีปากหนาสีแดงสด วงรอบตาสีแดงและมีแถบสีดำคาดเหมือนหน้ากาก บริเวณกระหม่อมสีเขียวอมเหลือง ลำตัวด้านบนสีเขียวสด ใต้ท้องสีเขียวอ่อน ช่วงปีกตรงหัวไหล่เป็นสีเขียว ปลายปีกเป็นสีแดงเข้ม และตอนในของขนกลางปีกมีแถบสีดำสลับขาว ขาสีแดงสด ใต้หางมีสีดำสลับขาว และส่วนปลายหางจะเป็นสีขาว ร้องดัง “กวีก.ก..กวีก..ก..ก….”
กระจายพันธุ์ในเทือกเขาหิมาลัยในตอนเหนือของภาคตะวันออกของประเทศอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านภาคกลางของประเทศไทย มาเลเซีย ถึงเกาะสุมาตราและทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ในป่าไม่ผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ
นกหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูงตามต้นไม้และพื้นดิน กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก ลูกนก และไข่เป็นอาหาร ทำรังอยู่ตามง่ามไม้ รังทำจากกิ่งไม้ ใบไม้แห้ง และใบไผ่ วางซ้อนกันและสานไปมาเป็นรูปลักษณะถ้วยตื้นๆ ตรงกลางมีกิ่งไม้เล็กวางรองอีกชั้น ออกไข่ครั้งละ 4 – 6 ฟอง

นกศิวะหางสีตาล หรือ นกศิวะหางตาล

นกศิวะหางสีตาล หรือ นกศิวะหางตาล


เป็นนกในวงศ์นกกินแมลงและนกกะราง (Timaliidae) พบในอนุทวีปอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 นกศิวะหางสีตาลเป็นนกที่มีขนาดปานกลาง ตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน ทางด้านบนของตัวมีสีเขียวมะกอก ด้านล่างมีสีอ่อนกว่าบนหลัง รอบตามีสีเหลือง หางและปีกบางส่วนมีสีน้ำตาลแกมแดง หน้าผากมีสีน้ำตาลแดง ที่คอมีลายขวางสีดำ มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ16-18.5 เซนติเมตร
มีหัวสีน้ำตาลอมส้มซึ่งค่อยๆจางลงจนกลมกลืนกับสีของหลัง ไหล่ สะโพกซึ่งเป็นสีเขียวอ่อนแกมเทา คางสีเหลืองเข้ม ใต้คอสีขาวมีลายบั้งสีดำขวางอยู่หลายๆบั้ง ทำให้ดูเหมือนเป็นนกที่มีคอลายๆ ปากสีน้ำตาลเข้ม ขนคลุมส่วนล่างของลำตัวเป็นสีเหลืองออกเขียวอ่อนนิดๆ ขนปีกมีสีเป็นชุดเดียวกับขนหางคือสีน้ำตาลแกมแดง ดำ และ ขาว มีจุดเด่นซึ่งเป็นที่มาของชื่อคือขนหางคู่บนสุดมีสีน้ำตาลแกมแดง ปลายหางเป็นสีขาวอมเหลือง ขอบขนและขนหางคู่อื่นเป็นสีดำ ตัวผู้และตัวเมียหน้าตาคล้ายคลึงกัน

นกตะกรุม

นกตะกรุม


เป็นนกน้ำขนาดใหญ่ในวงศ์นกกระสา (Ciconiidae) มีถิ่นที่อยู่อาศัยในทวีปเอเชียทางตอนใต้ ตั้งแต่อินเดีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงจีนตอนใต้ และเกาะชวา มีรูปร่างคล้ายคลึงกับนกตะกราม แต่มีขนาดเล็กกว่า และไม่มีถุงใต้คอ ขณะยืนมีความสูงบนหัวประมาณ 110-120 เซนติเมตร ความกว้างของปีกทั้งสองข้างประมาณ 210 เซนติเมตร ลำตัวด้านบนสีดำเหลือบเป็นมัน ใต้ท้องสีออกขาว ส่วนหัวและลำคอเป็นหนังสีเหลืองแกมแดง มีขนเป็นเส้นๆ ขึ้นกระจายอยู่ห่าง ๆ จะงอยปากมีขนาดใหญ่สีออกเหลืองเลอะ ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์จะมีแต้มสีแดงตรงบริเวณโคนปาก แข้งและเท้าสีน้ำตาลแกมเขียวจนถึงสีคล้ำเกือบดำ นกอายุน้อยขนสีดำค่อนข้างด้าน บนส่วนหัวและลำคอมีขนปกคลุมมากกว่านกโตเต็มวัย นกตะกรุม เป็นนกที่หากินสัตว์เล็ก ๆ ตามแหล่งน้ำเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, หอย, ปู, ปลา รวมถึงสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งครึ่งน้ำอย่าง งู หรือ กบ, เขียด แต่จะไม่กินซากสัตว์เหมือนนกตะกราม มีพฤติกรรมทำรังบนยอดไม้สูง ตามป่าชายเลนหรือป่าริมน้ำร่วมกับนกตะกรามและนกกระทุง วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ในช่วงปลายปี คือ เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
นกตะกรุม เป็นนกที่ได้ยากมากในประเทศไทย เดิมเคยมีรายงานพบที่ จังหวัดศรีสะเกษ, ราชบุรี, ชุมพร, ตรัง, ประจวบคีรีขันธ์ และนราธิวาส และมีรายงานการทำรังแพร่ขยายพันธุ์ที่บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ที่จังหวัดพัทลุง และป่าพรุ ในเขตจังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2522 แต่ปัจจุบันนี้ เหลือเพียงฝูงสุดท้ายแล้วที่เกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อันเป็นเกาะที่เงียบสงบ ห่างไกลจากการถูกรบกวนโดยมนุษย์ และมีรายงานพบ 2 ตัวที่เขตห้ามสัตว์ป่าทะเลน้อย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2556
ปัจจุบัน นกตะกรุมเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

นกกระสาคอขาวปากแดง

นกกระสาคอขาวปากแดง


นกกระสาคอขาวปากแดง (อังกฤษ:Storm’s Stork; ชื่อวิทยาศาสตร์:Ciconia stormi) เป็นนกกระสาชนิดที่พบเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศไทย และจัดเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ พบที่อุทยานแห่งชาติเขาสก
มีลักษณะคล้ายนกกระสาคอขาวแต่มีปากสีแดงสดบริเวณ หน้าสีส้มซีดๆ รอบตามีสีเหลืองทอง ขนปกคลุมที่คอ ช่วงบนสีขาว ถัดลงมาช่วงล่างสีดำ ปีกมีสีดำแกมเขียวซีดๆ พบในไทยและมาเลเซียแต่แยกกันเป็นคนละชนิดย่อย

นกปากห่าง

นกปากห่าง


นกปากห่าง (อังกฤษ: Open-billed stork, Asian openbill; ชื่อวิทยาศาสตร์: Anastomus oscitans) จัดอยู่ในวงศ์นกกระสา (Ciconiidae) จัดเป็นนกในวงศ์นี้ขนาดเล็ก แต่จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครก็คือปากที่ยามหุบจะเหลือช่องตรงกลาง ทำให้มันคาบเปลือกหอยโข่งและหอยเชอรี่ที่ทั้งกลมทั้งลื่นได้อย่างช่ำชอง เมื่อจับหอยได้แล้วมันจะคาบไปหาทำเลเหมาะ ๆ เพื่อใช้จะงอยปากทำหน้าที่เหมือนแหนบจิกเนื้อหอยออกมากิน
ตัวผู้และตัวเมียคล้ายกัน มีขายาว คอยาว ปากใหญ่ส่วนกลางของปากห่างออกเพื่อคาบหอยโข่งซึ่งกลมลื่นได้ ขนตามตัวมีสีขาวมอ ๆ หางมีสีดำแกมน้ำเงิน ขนปลายปีกมีสีเหมือนและเป็นแถบสีดำ นกปากห่างมีลำตัวยาว 32 นิ้ว ชอบอยู่เป็นฝูง ทำรังบนต้นไม้ ทำรังด้วยเรียวไม้แบบนกยางหรือรังกา ออกไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง ตัวผู้และตัวเมียจะผลัดกันกกไข่ ในการผสมพันธุ์ เวลาตัวผู้ขึ้นทับตัวเมียนั้น นกตัวผู้จะใช้เท้าจับขอบปีกหน้าของตัวเมียไว้แน่น ทั้งสองตัวจะกระพือปีกช่วยการทรงตัว ตัวผู้จะแกว่งปากของมันให้กระทบกับปากของตัวเมียอยู่ตลอดเวลาที่ทำการทับ ลูกนกเมื่อออกจากไข่ใหม่ ๆ จะไม่มีขน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีขนปุยขาว ๆ คลุม อีกราวเกือบ 2 เดือนก็มีปีกหางแข็งแรงแล้วก็เริ่มหัดบิน

นกยางโทนใหญ่

นกยางโทนใหญ่



เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่ในวงศ์นกยาง(Ardeidae) มีขนสีขาวตลอดตัว คอยาว มีลักษณะคล้ายนกยางโทนน้อย แต่ปากจะยาวกว่า หัวไม่กลมเหมือนนกยางโทนน้อย นกยางโทนใหญ่เป็นนกขนาดใหญ่มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 90 เซนติเมตร สีขาวตลอดตัว คอยาว ปากยาว แหลมมีสีเหลือง ตาเหลือง ไม่มีเปีย ขาและนิ้วเท้าดำ ในฤดูผสมพันธุ์มีขนประดับเป็นเส้นยาว ๆ อยู่บนหลังและยาวเลยหางออกไปเล็กน้อย นกยางโทนทั้งตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน ในฤดูผสมพันธุ์ปากจะมีสีดำ
ในประเทศไทย นกยางโทนใหญ่พบได้ในทุกภาคของประเทศ ตามหนองน้ำ ที่ราบน้ำท่วมถึง และตามท้องนาในฤดูฝน เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้บ่อยและมีบางส่วนเป็นนกอพยพ
นกยางโทนใหญ่หากินตามที่ราบที่น้ำท่วมถึง หนองบึง ทะเลสาบ และตามป่าชายเลน กินสัตว์น้ำ กบ เขียด แมลง และสัตว์ขนาดเล็กอื่นเป็นอาหาร นกยางโทนใหญ่ผสมพันธุ์ในฤดูฝนและอยู่กันเป็นฝูงชอบทำรังรวมกันอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันกับนกยางชนิดอื่น รังทำด้วยกิ่งไม้แห้งๆ เล็กๆ ขัดสานกัน มีแอ่งตรงกลางสำหรับ เพศผู้และเพศเมียช่วยกันทำรัง กกไข่ และเลี้ยงดูลูก วางไข่คราวละ 3-4 ฟอง ระยะฟักไข่ 25-26 วัน
นกยางโทนใหญ่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535

นกแต้วแร้วป่าโกงกาง หรือ นกแต้วแร้วป่าชายเลน

นกแต้วแร้วป่าโกงกาง หรือ นกแต้วแร้วป่าชายเลน


เป็นนกแต้วแร้วชนิดหนึ่ง เดิมเคยถูกจัดให้เป็นชนิดย่อยของนกแต้วแร้วธรรมดา (P. moluccensis) แต่ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นชนิดต่างหากแยกออกมา ซึ่งชื่อวิทยาศาสตร์มาจากภาษาละตินโดยคำว่า “megas” แปลว่า “ใหญ่” และ “rhynch” หรือ “rhunkhos” แปลว่า “ปาก” รวมความหมายคือ “นกที่มีปากใหญ่” นกแต้วแร้วป่าโกงกางเป็นนกขนาดเล็ก ความยาวจากปลายปากจดหาง 18-21 เซนติเมตร ลักษณะทั่วไปคล้ายนกแต้วแร้วธรรมดามาก เพียงแต่ว่านกแต้วแร้วป่าโกงกางบริเวณกระหม่อมเป็นสีน้ำตาลเข้มแทนที่จะเป็นสีดำเหมือนนกแต้วแร้วธรรมดา นอกจากนี้นกแต้วแร้วป่าโกงกาง จะมีปากที่ใหญ่และยาวกว่าโดยยาวประมาณ 4.0 เซนติเมตร ในขณะที่นกแต้วแร้วธรรมดามีปากยาว 3.0 เซนติเมตร ใต้ท้องสีคล้ำกว่า คางสีออกขาว การจำแนกชนิดให้ดูจากลักษณะสีของลำตัวประกอบกับพื้นที่หากิน อันเป็นอุปนิสัยเฉพาะของนกชนิดนี้เป็นส่วนสำคัญในการจำแนกชนิด

นกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง

 นกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง


เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ชุกชุมตามป่าดิบแล้งและป่าเต็งรัง แต่ก็อาศัยอยู่ในป่าประเภทอื่นๆด้วย พบได้ตั้งแต่อนุทวีปอินเดียไปจนถึงเวียดนาม และมีประชากรกระจายอยู่ในคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยพบทั่วประเทศยกเว้นภาคใต้และที่ราบลุ่มภาคกลาง ตามป่าดิบนกชนิดนี้จะถูกแทนที่โดยนกเขียวก้านตองชนิดอื่น โดยเฉพาะนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า (Blue-winged Leafbird) ที่พบได้เกือบทั่วประเทศ
นกเขียวก้านตองชนิดนี้เป็นนักเลียนเสียงอันดับต้นๆในป่าเมืองไทยเลยทีเดียว มันมีเสียงร้องหลายแบบมาก เสียงร้องแบบหนึ่งที่ได้ยินกันบ่อยๆจะฟังดูคล้ายนกแซงแซวสีเทา (Ashy Drongo) แต่บทเพลงของมันอาจยาวมากโดยมีท่วงทำนองและจังหวะที่แทบไม่ซ้ำกันเลย อาหารโปรดของนกเขียวก้านตองคือผลไม้ โดยเฉพาะลูกไม้ขนาดเล็กและน้ำหวานดอกไม้ เรียกได้ว่าพวกมันทั้งช่วยกระจายเมล็ดและผสมเกสรให้ต้นไม้หลากหลายชนิด

นกอ้ายงั่ว หรือ นกคองู

นกอ้ายงั่ว หรือ นกคองู


เป็นนกน้ำชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์นกอ้ายงั่ว (Anhingidae) ในอันดับนกกระทุง (Pelecaniformes) (แต่บางข้อมูลจัดให้อยู่ในอันดับ Suliformes) ในประเทศไทยพบเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ขนาดลำตัวยาวประมาณ 90-95 เซนติเมตร ปากตรง ปลายปากแหลม หัวเล็กคอยาวมาก ปีกยาว ปลายปีกค่อนข้างมน ขนปลายปีกเส้นที่ 2 และ 3 นับจากด้านนอกยาวที่สุด หางยาวแข็ง ปลายหางเป็นหางพลั่ว มีขนหาง 12 เส้น ขาค่อนข้างสั้นแต่ใหญ่ มีพังผืดนิ้วเป็นแบบตีนพัดเติม ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีเหมือนกัน ตัวเต็มวัยหัวและคอสีน้ำตาล มีลายสีขาวคาดจากคางจนถึงข้างคอ ลำตัวสีดำ ช่วงไหล่ คอด้านบน และลำตัวด้านบนมีลายขีดสีเทาแกมสีเงิน ตัวไม่เต็มวัยสีจางกว่าตัวเต็มวัย หัวและคอสีขาว ลำตัวสีน้ำตาล มีลักษณะเด่น คือ มีลำคอยาวเรียวดูคล้ายงู จนได้อีกชื่อหนึ่งว่า “นกคองู” เพราะขณะว่ายน้ำ ลำตัวทั้งหมดจะจมลงใต้น้ำ ชูเฉพาะคอและหัวขึ้นเหนือน้ำ ดูคล้ายกับงูที่อยู่ในน้ำมาก อยู่เป็นกลุ่มตามแหล่งน้ำ เช่น บึง, อ่างเก็บน้ำ, เขื่อน หรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ และอาจอยู่รวมกับนกและสัตว์ชนิดอื่น ว่ายน้ำและดำน้ำได้ดีมาก นอกจากนี้ยังบินได้ดี และชอบเกาะตามกิ่งไม้แห้งใกล้กับแหล่งน้ำหากินหรือบริเวณแหล่งอาศัย เพื่อผึ่งแดดหรือไซ้ขนหลังจากว่ายน้ำและดำน้ำหาอาหาร

นกกาน้ำเล็ก

นกกาน้ำเล็ก


เป็นนกชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกาน้ำ (Phalacrocoracidae) เป็นนกกาน้ำขนาดเล็ก มีความยาวจากปลายปากถึงปลายหาง 51-56 เซนติเมตร น้ำหนัก 360-525 กรัม ความกว้างระหว่างปลายปีกทั้งสอง 90 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะเหมือนกัน ขนตามลำตัวมีสีดำเหลือบน้ำเงิน ตรงปีกมีสีน้ำตาลปน บริเวณรอบตามีจุดสีขาวขนาดเล็ก ใต้คางมีสีครีม แต่ขนชุดนอกและในฤดูผสมพันธุ์แตกต่างกัน นอกฤดูผสมพันธุ์ ปากสีเนื้อแกมเทาหม่น ขนทั่วทั้งหัว, ลำคอ, ลำตัว ปีกและหางสีน้ำตาลแกมดำ แต่ขนบริเวณไหล่และปีกสีค่อนข้างเทา แต่ขอบขนสีดำ คางค่อนข้างขาว ในฤดูผสมพันธุ์ ปากสีค่อนข้างดำ หัว, ลำคอ, อก, ท้อง, สีข้างและขนคลุมใต้โคนหางเปลี่ยนเป็นสีดำเหลือบน้ำเงินและเขียว บนกระหม่อมขนคลุมหู และท้ายทอยมีลายริ้วสีขาว พบกระจายพันธุ์ในทวีปยุโรป, แอฟริกา และในทวีปเอเชีย ได้แก่ อินเดีย, จีน, พม่า, อินโดจีน, มาเลเซีย, ชวา และในประเทศไทยพบทั่วไปทุกภาค จัดเป็นนกกาน้ำชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด
อาศัยอยู่ตามหนองบึง, แม่น้ำ, ลำคลอง หรือท้องนา จับปลาขนาดเล็กจำพวกปลาตะเพียนกินเป็นอาหาร ส่วนใหญ่ชอบอยู่ตามลำพัง บางครั้งอาจพบอยู่รวมกันเป็นฝูงบ้าง ชอบดำน้ำไล่จับปลาเป็นอาหาร เมื่อขึ้นจากน้ำมักจะยืนกางปีกตากแดดให้ขนแห้ง
นกกาน้ำเล็กผสมพันธุ์ในราวเดือนกรกฎาคม ทำรังอยู่บนต้นไม้ใหญ่รวมกันหลายรังบนต้นเดียวกัน ทำรังด้วยกิ่งไม้เล็ก ๆ ขัดสานไว้อย่างหยาบ ๆ และวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย


นกกระทุง

นกกระทุง


นกน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในวงศ์นกกระทุง (Pelecanidae) จัดเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์นี้ ที่พบได้ในประเทศไทย นกกระทุงเป็นนกขนาดใหญ่ มีความยาวจากปากถึงปลายหางประมาณ 52-60 นิ้ว มีขาสั้นใหญ่ ปากยาวแบนข้างใต้มี ถุงสีออกม่วงขนาดใหญ่ บริเวณขอบปากบนมีจุดสีน้ำเงินเข้มอยู่เป็นระยะตามความยาวของจงอยปาก ตีนมีพังผืดสี เหลืองขึงเต็มระหว่างนิ้วทุกนิ้วคล้ายเป็ด ม่านตาสีแดง แข้งและเท้าสีเนื้อ สามารถว่ายน้ำได้ดี บินได้สูง ในฤดูผสมพันธุ์ ขนจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงินในช่วงบนของลำตัว ส่วนช่วงล่างจะเป็นสีขาว แต่ถ้าไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ ปีก หางและส่วนใต้ลำตัว จะมีสีน้ำตาลเช่นเดียวกับนกกระทุงที่ยังไม่โตเต็มที่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียรูปร่างและสีสันเหมือนกัน นกกระทุงชอบอยู่เป็นฝูง กินปลา กุ้ง กบ สัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ เป็นอาหารและหาอาหารด้วยกัน ถ้าตัวใดตัวหนึ่งทำอะไรตัวอื่นจะทำตาม เวลาที่มั นอยู่เฉย ๆ จะหันหน้าไปทางเดียวกันหมด เวลาบินจะหดคอเข้ามา บินกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง บางครั้งบินเป็นรูปตัว V ส่วนใหญ่จะบินเป็นรูปขั้นบันไดกว้าง ๆ รังสร้างด้วยกิ่งไม้ใหญ่ ๆ วางสานกันบนต้นไม้สูง ๆ ขนาดของรังมีเส้นผ่าศูนย์ กลาง 2 ฟุต วางไข่ครั้งละประมาณ 3 ฟอง ไข่มีสีขาว ทั้งตัวผู้และตัวเมียช่วยกันกกไข่ประมาณ 4-5 อาทิตย์ จึงฟักเป็นตัว ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อกันว่านกกระทุงเลี้ยงลูกอ่อนด้วยเลือดของมันเองโดยใช้ปากเจาะเลือดจากอกของมัน

นกร่อนทะเลหางแดง หรือ นกนวลหางยาว

นกร่อนทะเลหางแดง หรือ นกนวลหางยาว


เป็นนกทะเลที่พบในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในกลุ่มนกร่อนทะเลที่พบเห็นได้ยากแต่ยังมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างจึงยังไม่จัดว่าถูกคุกคาม อยู่เป็นอาณานิคมทำรังวางไข่บนเกาะกลางทะเล นกร่อนทะเลหางแดงคล้ายนกนางนวลแกลบและมีลักษณะใกล้เคียงกับนกร่อนทะเลอีก 2 ชนิดที่เหลือ ยาวจากปลายปากถึงปลายหาง 46.0-48.0 เซนติเมตร นกที่โตเต็มวัยแล้วมีขนหางคู่กลางยื่นยาวเลยขนหางคู่อื่นออกไปมาก ปากหนาแหลมและแข็งแรง แบนข้าง สันปากบนโค้งลงเล็กน้อย ขอบปากบนหยักเป็นฟันเลื่อย ความยาวของปากไล่เลี่ยกับความยาวของหัว หัวโต คอสั้น ใต้คอเป็นหนังเปลือยเปล่า รูจมูกเป็นรูปรี ปีกยาว แข็งแรงและปลายปีกแหลม หางเป็นรูปลิ่ม ขนปลายปีกมี 11 เส้น ขาสั้นและอยู่ค่อนไปทางด้านท้ายของลำตัว นิ้วตีนทั้งสี่หันไปข้างหน้าและมีแผ่นพังผืดขึงระหว่างนิ้วทั้งสี่ตลอดความ ยาวของนิ้ว แต่นิ้วที่ 1 (นิ้วตีน) อยู่สูงกว่านิ้วอื่น เล็บโค้งแหลมคมโผล่พ้นแผ่นพังผืดออกมา ลำตัวสีขาวอาจปนสีชมพูจางๆ ขนหางคู่บนสุดยื่นยาวเลยขนหางคู่อื่นออกไปมาก สีชมพูเข้มหรือแดง มีแถบสีดำขวางปากทางด้านหน้าของรูจมูก ม่านตาสีน้ำตาลเข้ม มีแต้มสีดำที่โคนปีกและสีข้าง และมีแถบสีดำพาดผ่านตา ขาและโคนนิ้วเท้าสีฟ้าอ่อน ที่เหลือสีดำ นกร่อนทะเลหางแดงทำรังบนเกาะในมหาสมุทรเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่จากหมู่เกาะฮาวายถึงเกาะอีสเตอร์และข้ามไปถึงประเทศมอริเชียสและเรอูนียง มีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง เคยมีการพบนกที่ใส่ห่วงขาจากฮาวายไกลถึงประเทศญี่ปุ่นและประเทศฟิลิปปินส์ มีพิสัยจากทะเลแดงถึงประเทศนิวซีแลนด์และประเทศชิลี ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

นกเป็ดผีใหญ่

  นกเป็ดผีใหญ่



เป็นนกน้ำในวงศ์นกเป็ดผี นกเป็ดผีใหญ่มีลำตัวยาว 46-51 ซม.ช่วงปีกกว้าง 59-73 ซม. ว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง สามารถจับปลาจากใต้น้ำได้ ปากแหลมสีเนื้อแกทชมพู คอยาว หน้าผาก กระหม่อม ท้ายทอย หลังคอ และหลังสีน้ำตาลเข้ม มีแถบดำจากมุมปากถึงตา หน้า ข้างคอ และลำตัวด้านล่างสีขาว สีข้างน้ำตาลแกมแดง ในฤดูผสมพันธุ์จะมีหงอนฟูสีดำ ข้างแก้มมีขนยาวเป็นแผ่นสีน้ำตาลแดงและดำ ปากสีชมพูเข้ม
ลูกนกสังเกตได้ง่าย เนื่องจากหัวมีลายทางขาว-ดำ คล้ายม้าลาย และลายทางจะหายไปเมื่อโตเต็มวัย นกเป็ดผีใหญ่ผสมพันธุ์กันในบริเวณดงพืชน้ำในทะเลสาบน้ำจืดชนิดย่อย P.c.cristatus พบในยุโรปจรดเอเชีย เป็นนกประจำถิ่นในบริเวณการกระจายพันธุ์ค่อนไปทางตะวันตก ในบริเวณที่เหลือจะเป็นนกอพยพจากพื้นที่หนาวเย็น ในฤดูหนาวจะพบได้ตามทะเลสาบน้ำจืดและอ่างเก็บน้ำหรือชายฝั่ง ชนิดย่อย P. c. infuscatus ในแอฟริกาและชนิดย่อย P. c. australis ในออสเตรเลียมักอยู่ประจำถิ่น




นกกระตั้ว

นกกระตั้ว



การดูแลนก

        การฉีดน้ำ ถ้าในกรงไม่มีอ่างน้ำ จะต้องมีการฉีดน้ำให้นกอย่างน้อย 2 ครั้งประจำทุกสัปดาห์ เพื่อให้นกได้ขจัดผงแป้งที่เกาะอยู่ตามตัว การฉีดพรมน้ำนั้นทำให้นกมีความสุข มันจะแสดงออกโดยการส่งเสียงร้องและกางปีกออกเพื่อจะได้เข้าใกล้ละอองน้ำ และควรทำในตอนเช้าเพื่อขนของนกจะได้แห้งเร็วขึ้น

           การตัดเล็บ นกที่อยู่ในกรงส่วนใหญ่จะมีเล็บยาวเร็ว ทำให้ไม่สามารถยึดเกาะได้ดี จึงจำเป็นต้องตัดเล็บให้นก หลังจากตัดเล็บแล้ว ควรทำให้รอยตัดนั้นเรียบด้วยการใช้ตะไบ และควรให้สัตวแพทย์หรือผู้เลี้ยงนกที่มีความเชี่ยวชาญนั้นสอนวิธีการตัดให้แก่เราในครั้งแรก

           การตัดแต่งจงอยปาก หากนกไม่มีสิ่งของกัดแทะ จะงอยปากของนกจะโตมากเกินไป การดูแลรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์และผู้เลี้ยงมีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

           การตัดขน การตัดขนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนกที่ถูกเลี้ยงอิสระภายในบ้าน เพราะอาจจะได้รับอันตรายจากสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้าน การตัดขนนกนั้นจะตัดขนที่ยาวให้สั้นเพื่อจะได้งอกใหม่โดยง่าย เราจะตัดขนไม่เกิน 8 - 10 ก้านโดยนับจากด้านนอก



วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560

ค๊อกคาเทล

ค๊อกคาเทล


     นกค๊อกคาเทล
มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ตัวผู้มีลำตัวเป็นสีเทา ๆ ปีกจะเป็นแถบสีขาว หัวเป็นสีเหลืองอ่อน มีหงอนยาวสูงขึ้นมาที่แก้ม มีหย่อมสีส้มเด่นชัดปากเป็นสีเทา ตัวเมียมีลักษณะคล้ายกับตัวผู้ แต่หัวจะเป็นสีเหลืองอมเทา สีส้มที่แก้มไม่เด่นชัดนัก และหางจะเป็นสีเหลืองมีลายขีดสีเทาขวางอยู่
วิธีการเลี้ยง

การให้อาหาร




















นกคอนัวร์



นกคอนัวร์ 



 นกคอนัวร์ (Conure) 

    เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของ นกแก้ว ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบละตินอเมริกา จากเม็กซิโกลงมาถึงหมู่เกาะคาริบเบียนและชิลีใต้ นกคอนัวร์ พันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ พาทาโกเนี่ยน มีความยาวประมาณ 17.5 นิ้ว และ นกคอนัวร์ พันธุ์ที่เล็กที่สุดคือ เพ้นท์เท็ต มีความยาวประมาณ 8.5 นิ้ว โดย นกคอนัวร์ เป็นนกที่รักความสงบและอยู่กันเป็นฝูงใหญ่

วิธีการเลี้ยง
การให้อาหาร

อาหารขณะเป็นลูกป้อน (ลูกนก)
       อาหารที่ให้ลูกนกวงศ์นกแก้ว ควรเป็นอาหารสำหรับลูกนกโดยเฉพาะ ไม่ใช่อาหารสำหรับเด็กอ่อน เนื่องจากนกและคนมีความต้องการสารอาหารแตกต่างกัน ในการอุ่นอาหาร ถ้าใช้เตาไมโครเวฟ ต้องคนอาหารให้เข้ากัน และใช้ เทอร์โมมิเตอร์ในการวัดอุณหภูมิทุกครั้ง อุณหภูมิของอาหารที่เหมาะสมสำหรับป้อนลูกนก คือ 35-40.5 องศาเซลเซียส
อาหารเมื่อนกโตเต็มวัย ขนคลุม
    สำหรับนกโตเต็มวัยควรได้รับอาหาร 3 ประเภทหลักๆ คือ ผัก และผลไม้ ถั่วต่าง ๆ และเมล็ดพืช ในอัตราส่วนใกล้เคียงกันเป็นประจำทุกวัน โดยถั่วที่ให้นกกินควรเป็นถั่วต้มสุก ร่วมกับการให้วิตามิน และแร่ธาตุสำหรับนก ไม่ควรให้นกกินเฉพาะเมล็ดพืช เนื่องจากนกจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนอาหารหลักที่ให้  สรุป....ซันคอนัวร์ คือเมล็ดธัญพืชชนิดต่างๆ เช่นเมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ด ข้าวไรน์ มิลเล็ต เมล็ดปอ ๆลๆ แล้วเสริมด้วยผลไม้หลากหลายชนิดผลัดเปลียนกันไปตามโอกาส เช่น ข้าวโพดสด ฝรั่ง แอปเป็ล แครอท กล้วยน้ำหว้าสุก ฯลฯ ที่ต้องให้เมล็ดธัญพื่ชและผลไม้หลายๆอย่าง เพราะจะทำให้นกได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย กระดองปลาหมึก เปลือกหอยป่น ก็นับเป็นสิ่งสำคัญ ควรนำมาให้นกได้จิกแทะกิน เพื่อเป็นการคลายเครียด และยังทำให้นกยังได้รับแร่ธาตุที่สำคัญอีกด้วย


อิเล็คตัส



อิเล็คตัส (ECLECTUS)


อิเล็คตัส (ECLECTUS)

       นกแก้วอิเล็คตัสเป็นนกแก้วปากขอขนาดกลาง ที่คนไทยนิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ด้วยความที่นกแก้วอิเล็คตัสมีสีสันสดใส และสามารถแยกเพศได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนนกปากขอส่วนมากที่ไม่สามารถแยกเพศได้ด้วยตาเปล่า  นกแก้วอิเล็คตัสพบตามหู่เกาะต่างๆในประเทศอินโดนีเซีย และออสเตเรีย นกแก้วอิเล็คตัสมีความยาวเฉลี่ย 35 ซม. โดยเพศผู้บริเวณหัว ช่วงคอ ปีกหลังและลำตัวทั้งหมดจะมีสีเขียว และใต้ปีกมีสีแดง บริเวณหัวปีกมีสีฟ้า เมื่อยังเด็กจะงอยปากจะมีสีดำปนเหลือง แต่เมื่อโตเต็มที่จะงอยปากจะมีสีส้มอมเหลือง เพศเมียส่วนหัวถึงลำตัวทั้งหมดจะมีสีแดงบริเวณช่วงท้องถึงโคนหางจะมีสีม่วงปนน้ำเงิน จะงอยปากสีดำสนิทตั้งแต่เด็กจนโต

วิธีการเลี้ยง
   
   อาหารลูกป้อนที่ใช้ควรเป็นอาหารที่ดีมีคุณภาพ สะอาด และควรชงอาหารใหม่ๆทุกมื้อ ไม่ควรเก็บอาหารลูกป้อนที่ชงเหลือเก็บไปป้อนในมื้อต่อไป เพราะอาหารที่เหลือนั้นเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี และเมื่อเราใช้อาหารนั้นป้อนเข้าไปให้ลูกนกกินก็จะทำให้ลูกนกป่วยได้

การให้อาหารนก

    นกแก้วอิเลคตัสสามรถกินอาหารได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นธัญพืชต่างๆ เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน รวมถึงผักผลไม้ตามฤดูการต่างๆไม่ว่าจะเป็น กล้วย ฝรั่ง ฝักทอง ข้าวโพด ฯลฯ การให้อาหารควรให้หลากหลายเพราะนกในกรงเลี้ยงไม่สามารถหาอาหารกินเองได้เหมือนในธรรมชาติ โดยปกติจะให้อาหารวันละ 2 ครั้งคือช่วงเช้าเป็นผักผลไม้ ช่วงเย็นจะเป็นธัญพืชต่างๆ เรื่องของอาหารเสริมต่างๆก็อาจจะให้พวกวิตามินแคลเซียมเดือนละครั้ง


วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

นกริงค์เน็ค


นกริงค์เน็ค



ริงค์เน็ค ( Ringnecked Parakeet ) 

  นกแก้วคลาสสิก ชื่อวิทยาศาสตร์ Psittacula Krameri เพาะเลี้ยงเกิดสีใหม่ไม่ มีจุดจบ  
นกแก้วสายพันธุ์ริงค์เน็ค เป็นที่นิยมในการเพาะเลี้ยงมากที่สุด เนื่องจากมีสีสันมากมายหลาก หลายสี 
เช่น กรีน, เกรย์กรีน, บลู, บลูซินนามอน, ลูติโน, อัลบิโน, เยลโลเฮดซินนามอน และ ไวท์เฮดบลูซินนามอน 
ซึ่งเป็นสีที่ฮอตฮิตมาก และยังสามารถเพาะเลี้ยงเพื่อให้เกิดสีใหม่ๆขึ้นอย่างไม่มีจุดจบ 
ปัจจุบันมีสีมากกว่า 30-40 สี

วิธีเลี้ยง

       ควรทำรังไม้มีขนาดความกว้างและความยาวประมาณ 30 ซม.และสูงประมาณ 50 ซม.เพื่อให้นกมุดตัวเข้าไปนอนได้อย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ แต่ก็อย่าลืมเรื่องความสะอาดด้วยนะค่ะ ควรล้างกรงให้สะอาดทุก 2-3 วัน และหมั่นดูแลให้กรงแห้งอยู่เสมอเพราะหางนกอาจจะเปียกชื้นและเกิดเชื้อโรคกับตัวนกได้
ผู้เลี้ยงต้องดูแลใส่ใจตั้งแต่ยังเป็นลูกนกหรือที่เรียกกันว่าลูกป้อน ซึ่งโดยทั่วไปลูกนกแรกเกิดในวันที่สองผู้เลี้ยงมักจะนำมาป้อนอาหารเหลวเองทุกๆ สองชั่วโมง ต้องเลี้ยงในที่ที่มิดชิด เลี้ยงในกล่อง ตู้กระจก หรือตู้อบที่ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนกได้ จนกว่าขนนกจะขึ้นเต็มและจะบิน หรือกล้าขยับปีกบิน และสามารถกินอาหารได้เอง ซึ่งจะอยู่ในวัยราว 2 เดือน 

การให้อาหาร
  
  โดยตามธรรมชาติแล้วจะเป็นอาหารที่หลากหลายทั้งนี้ก็เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วน แต่ก็จะเน้นผักและผลไม้เป็นหลักค่ะ อย่างเช่น ผักคะน้า ผักกาด กะหล่ำปี ข้าวโพด ฝักทอง แครอท ฯลฯ ผลไม้ส่วนมากนกริงเนคจะกินเกือบทุกอย่าง แต่ให้ระวังเมล็ดแอปเปิ้ลและอาโวคาโด้เพราะจะเป็นพิษต่อนกได้ค่ะ ถ้าเป็นเมล็ดธัญพืชก็จะเป็นจำพวก เมล็ดดอกทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ข้าวเปลือก ฯลฯ แต่เป็นเพียงอาหารเสริมที่ให้นกกินเล่นเท่านั้น
    


นกแอฟริกันเกรย์

นกแอฟริกันเกรย์





นกแอฟริกันเกรย์

       
          เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่นกสามารถขยายพันธุ์ได้มากที่สุด หลังจากนั้นเมื่อถึงฤดูฝนก็จะออกไข่น้อย เพราะเป็นช่วงผลัดขนเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ต่อไปในหน้าหนาว แต่ถึงอย่างไรแล้วนกก็ยังผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี
        “สำหรับนกแอฟริกันเกรย์ มีความพร้อมที่จะขยายพันธุ์เมื่ออายุ 4 ปีขึ้นไป ใช้ระยะเวลาในการตั้งท้องประมาณ 15 วัน หลังจากผสมพันธุ์แล้ว ไข่ก็จะเจริญเติบโตพร้อมที่จะออกมาเป็นไข่ ซึ่งจะออกไข่ประมาณ 3 วันต่อใบ (ถ้าครอกนี้ออกไข่ 3 ใบก็ต้องใช้เวลา 9 วัน) และมีระยะฟักตัวประมาณ 24-25 วัน (นกแอฟริกันเกรย์สามารถดูเพศได้เมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป) เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 700 กรัม และมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 40 ปี บางทีคนเลี้ยงก็อาจตายไปก่อนนกเสียอีก 

การให้อาหาร

           อาหารสำหรับนกแอฟริกันเกรย์หาได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นพวกธัญพืชชนิดต่างๆ จำพวกเมล็ดทานตะวัน ถั่ว ข้าวโพด รวมทั้งผลไม้สด เช่น ฝรั่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมให้สัตว์มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์   แข็งแรง และโดยธรรมชาติแล้ว นกจะกินผลไม้เป็นหลักอยู่แล้ว เมื่อคนนำมาเลี้ยง ผู้เลี้ยงจึงต้องหาผลไม้สดให้ด้วย รวมทั้งเสริมด้วยสารอาหารจำพวกแร่ธาตุ แคลเซียม วิตามินซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอาหารสัตว์โดยเฉพาะ


วัยเจริญพันธุ์     4 ปีขึ้นไป

  • ระยะตั้งท้อง    ประมาณ 15 วัน
  • ระยะฟักไข่    ประมาณ24-25 วัน (3 วัน/ฟอง)
  •  จำนวนไข่    9 ฟอง/ปี
  •  ขนาดครอก    3 ตัว/ครั้ง 
  •  น้ำหนักโตเต็มวัย    ประมาณ 700 กรัม
  •  ช่วงชีวิต    40 ปีขึ้นไป






หน้าปก

😁😁😁วิชา คอมพิวเตอร์😁😁😁  😂โดย😃    😇นาย.ทรงพล เกตุพันธ์😋 😞เสนอ😣 😣ครูไพศาล ภาวสุท😰 😃😃😃ติดต่อได้...